CITY CRACKER

100 ปี น้องหมาฮาจิโกะ ความรักไร้เงื่อนไขที่กลายเป็นหมุดหมายของเมือง

คุณเคยได้ยินเรื่องราวของเจ้าหมาชื่อฮาจิโกะไหม? เจ้าหมาที่กลายมาเป็นรูปปั้นขนาดกะทัดรัดที่นั่งอยู่ตรงแยกชิบูย่าอันคับคั่ง รูปปั้นที่บอกเล่าเรื่องราวการมาเฝ้ารอเจ้าของที่ไม่มีวันกลับมาของมัน ใครที่ไปโตเกียวหรือกระทั่งคนญี่ปุ่นเอง รูปปั้นฮาจิโกะนับเป็นจุดนัดพบสำคัญของผู้คน ในด้านหนึ่งเจ้าฮาจิโกะที่ยังคงเฝ้ารอนายของมันอยู่เสมอนี้ก็เป็นอีกเรื่องราวเล็กๆ ในดินแดนของคนแปลกหน้า ในความหนาวเย็นชืดชาของเมืองที่มีเรื่องราวอบอุ่นหัวใจของคนและสัตว์ที่ช่วยเติมเต็มความรู้สึกของเราในเมืองใหญ่ได้ไม่มากก็น้อย

ในปี 2023 นี้ เรื่องราวของฮาจิโกะถือว่าดำเนินมาครบ 100 ปี ในโอกาสหนึ่งร้อยปีของเจ้าฮาจิโกะ City Cracker ชวนย้อนกลับไปดูเรื่องราวของเจ้าฮาจิโกะ ที่ในที่สุดแล้วความสัมพันธ์ที่อบอุ่นหัวใจในความรักไร้เงื่อนไขกลายเป็นตำนานของเมือง เป็นแรงบันดาลใจในระดับชาติและระดับโลก กลายเป็นหมุดหมายทางกายภาพของเมือง

และนี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราว ในปี 1923 วันธรรมดาๆ ที่ค่อนข้างหนาวเย็นของเมืองโอดาเตะ จังหวัดอากิตะ เมืองทางตอนเหนือที่ห่างจากชิบูย่าไป 600 กิโลเมตร วันที่ลูกสุนัขอาคิตะพันธุ์แท้ถือกำเนิดขึ้น หนึ่งในนั้นถูกส่งขึ้นรถไฟ และ 20 ชั่วโมงหลังจากนั้น เจ้าหมาน้อยก็ถึงมืออาจารย์มหาวิทยาลัยคนหนึ่งซึ่งได้เป็นเจ้าของใหม่ของมัน

ฮาจิโกะและอาจารย์ฮิเดซาบุโร อุเอโนะ ©nerdnomads.com

ฮาจิ เจ้าหมาอาคิตะ

ฮาจิโกะเป็นเรื่องราวธรรมดาๆ ที่มีความพิเศษในตัวเอง เรื่องราวเริ่มต้นที่อาจารย์ฮิเดซาบุโร อุเอโนะ (Hidesaburo Ueno) นักวิทยาศาสตร์ด้านเกษตรศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโตเกียว (ขณะนั้นชื่อ Tokyo Imperial University) อยากได้สุนัขสายพันธุ์อาคิตะแท้มาเลี้ยง จนในปีนั้นเองก็ได้ข่าวจากนักศึกษาและได้ตกลงรับซื้อสุนัขพันธุ์อาคิตะจากเกษตรคนหนึ่ง เจ้าหมาตัวนั้นเกิดจากสุนัขอาคิตะชื่อโอชินะและโกมะ ในที่สุดลูกสุนัขก็ถูกส่งมาทางรถไฟขบวนพิเศษและถึงกรุงโตเกียวโดยสวัสดิภาพ

ในการพบกันนั้นอาจารย์ตั้งชื่อเจ้าสุนัขตัวใหม่ว่าฮาจิ เนื่องจากอุ้งเท้าของมันหน้าตาเหมือนตัวอักษรเลขแปดในภาษาญี่ปุ่น และเลขแปดเป็นตัวแทนของความโชคดี สุนัขพันธุ์อาคิตะถือเป็นตัวแทนที่น่าสนใจของการผสมสายพันธุ์สุนัขท้องถิ่นของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นการผสมระหว่างสุนัขนักล่ากับสุนัขท้องถิ่นจนได้เป็นสุนัขขนาดใหญ่ ขนแน่นฟูและมีความสามารถในการต่อสู้สูง ขึ้นชื่อเรื่องความจงรักภักดี มีการวิจัยดีเอ็นเอพบว่าเจ้าฮาจิเองก็เป็นหนึ่งในสุนัขอาคิตะสายพันธุ์แท้ โดยในตอนนั้นอาจารย์อุเอโนะได้ซื้อเจ้าฮาจิมาในราคา 30 เยน เทียบจากยุคสมัย เป็นเงินจำนวนค่อนข้างมาก

 

เรื่องราวที่เรารู้กันของฮาจิ และที่มาของโกะในชื่อฮาจิโกะ

ชีวิตของฮาจิโกะก็เหมือนกับสุนัขตัวอื่นๆ อาจารย์ในฐานะเจ้าของเลี้ยงมันด้วยความรัก เป็นเหมือนลูกชายของครอบครัว ทุกๆ วันเจ้าฮาจิโกะจะเดินมาจากบ้านที่อยู่ไม่ไกลมายังสถานีชิบูยะ ส่งนายของมันขึ้นรถไฟไปทำงาน ก่อนที่มันจะรอ หรืออาจจะไปที่ไหนๆ แล้วกลับมารอรับนายของมันในทุกๆ เย็น ชีวิตของมันวนเวียนอยู่แบบนั้น วันเวลาแห่งความสุขถือว่าผ่านไปอย่างรวดเร็วและแสนสั้น 16 เดือนที่เดินไปทำงานกับนายของมันก็ได้สิ้นสุดลงในเดือนพฤษภาคมของปี 1925 เจ้าฮาจิโกะเดินไปส่งนายของมัน ในวันที่นายของมันไม่มีวันกลับมาที่สถานีรถไฟและกลับบ้านอีกเลย

วันที่ 21 พฤษภาคม อาจารย์อุเอโนะเสียชีวิตอย่างกระทันหันจากอาการเลือดออกในสมอง เสียชีวิตลงที่มหาวิทยาลัยด้วยวัยเพียง 53 ปี เย็นวันนั้นเจ้าฮาจิโกะไปนั่งรอนายของมันตามปกติ และการรอคอยที่แสนยาวนานก็เริ่มต้นขึ้นในวันนั้น

ฮาจิโกะและชายแปลกหน้าที่แวะมาเยี่ยมเยือน ©Wikimedia Commons

ชีวิตของฮาจิโกะผกผันอย่างรวดเร็ว อย่างแรกคือความยากลำบาก ภรรยาของอาจารย์เป็นภรรยาในทางพฤตินัย ดังนั้นเธอที่รับดูแลฮาจิโกะต่อก็ต้องย้ายออกจากบ้านเดิมที่ชิบูย่าเพราะไม่มีสิทธิในฐานะภรรยา เจ้าฮาจิโกะย้ายบ้าน และย้ายเจ้าของหลายครั้ง แต่ไม่ว่าบ้านใหม่ของมันจะอยู่ห่างจากสถานีชิบูย่าแค่ไหน มันก็จะวิ่งเป็นระยะทางหลายกิโลเมตรเพื่อมานั่งรอนายของมันที่เดิม จนกระทั่งวันหนึ่งมันได้รับเลี้ยงโดยคนสวนของบ้านอูเอโนะซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสถานี เจ้าฮาจิโกะจึงสามารถเดินมานั่งรอนายของมันทุกวันได้

ว่ากันว่าเจ้าฮาจิโกะไม่ได้นั่งรอนายของมันแบบสบาย ในการนั่งรอนายของมันอย่างโดดเดี่ยว มีรายงานว่ามันถูกรังแก ถูกทำร้าย เรื่องราวของฮาจิเป็นที่รู้จักขึ้นมาจากการที่นายกสมาคมพิทักษ์สุนัขเขียนเรื่องราวการนั่งรอเจ้าของในปี 1932 ลงในหนังสือพิมพ์อาซาชิ เนื้อหาบทความเล่าถึงการที่เจ้าหมาถูกทำร้าย ในตอนนี้เองที่เรื่องราวของเจ้าฮาจิถูกเล่าพร้อมกับความภักดีในการรอเจ้านายของมันยาวนานถึงเจ็ดปี เจ้าฮาจิกลายเป็นไอคอนและมีชื่อเสียง ในตอนนี้เองที่ท้ายของมันถูกเติมคำว่าโกะลงไปเพื่อแสดงความยกย่องในความภักดีและการอุทิศตนของมัน

itsyourjapan.com

แรงกระเพื่อมของฮาจิโกะ

แน่นอนว่าฮาจิโกะกลายเป็นไอคอน เป็นแรงบันดาลใจและเรื่องราวอบอุ่นหัวใจในระดับชาติของญี่ปุ่น ต่อมาได้กลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก ฮาจิโกะกลายเป็นภาพยนตร์ เป็นบทกวี เป็นหนังสือและอื่นๆ อีกมากมาย และที่สำคัญที่สุดคือการจัดสร้างอนุสาวรีย์ให้เจ้าฮาจิโกะ

ตัวอนุสาวรีย์ฮาจิโกะจริงๆ ถูกสร้างขึ้นสองครั้ง ครั้งแรกสร้างเสร็จและเปิดในปี 1934 สองปีหลังลงหนังสือพิมพ์ ในตอนนั้นฮาจิโกะยังไม่ตายและว่ากันว่าฮาจิโกะก็ยังแวะเวียนมาที่รูปปั้นของตัวเองและตัวรูปปั้นฮาจิโกะได้เงินจากการระดมทุนจนสามารถสร้างเป็นรูปปั้นขนาด 180 เซ็นติเมตร และหลังจากนั้นเพียงหนึ่งปีเจ้าฮาจิโกะก็ได้เสียชีวิตในตรอกแห่งหนึ่งในชิบูย่า มันเสียชิวิตอย่างสงบจากมะเร็งและพยาธิหนอนหัวใจ ร่างของมันถูกนำไปสตัฟฟ์และจัดแสดงที่ National Science Museum ในโตเกียว

ร่างสตัฟฟ์ของฮาจิโกะ ©Wikimedia Commons

สำหรับอนุสาวรีย์ฮาจิโกะได้ถูกนำไปหลอมเพื่อใช้ในการสร้างทางรถไฟช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จนในปี 1934 มีการระดมทุนและจ้างศิลปินผู้เป็นลูกชายของช่างคนแรกที่สร้างรูปปั้นตัวแรก โดยรูปปั้นใหม่นี้มีหน้าตาเหมือนกัน

ความโดดเด่นของรูปปั้นคือขนาดและการจัดวางที่ผู้มาเยือนสามารถมองเห็นกระทั่งเข้าถึงเจ้าฮาจิโกะ และใกล้ชิดถึงขนาดที่เราสามารถย่อตัวลงแล้วลูบหัวมันได้ นอกจากที่ชิบูย่าแล้ว เมืองบ้านเกิดของฮาจิโกะก็มีมีการรูปปั้นไว้ที่เมืองโอดาเตะ มีการสร้างศาลของเจ้าฮาจิโกะไปจนถึงออกแบบฝาท่อระบายน้ำเป็นเจ้าฮาจิโกะด้วย

เรื่องราวของฮาจิโกะกลายเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องเล่าเมือง ตัวมันเองก็สัมพันธ์กับหลายมิติของความเป็นคนเมือง การเดินทางไปทำงาน ความตายที่ไม่ทันได้บอกลา วัฒนธรรมรถไฟ กระทั่งผลกระทบของสงคราม ความทรงจำของฮาจิโกะกลายเป็นแลนด์มาร์กที่อาจเรียกน้ำตาให้กับเราได้แค่เราคิดถึงเรื่องราวของมัน เป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำและวิถีชีวิตของเมือง

©tiptoeingworld.com

อันที่จริง ฮาจิโกะและนายของมันก็ได้รับความทรงจำและตอนจบใหม่ 90 ปี หลังจากการรอคอย มหาวิทยาลัยเกียวโตจัดระดมทุนและได้เงินกว่าสิบล้านเยน เกือบร้อยปีหลังจากนั้นที่มหาวิทยาลัยจึงได้เกิดรูปปั้นที่เจ้าฮาจิโกะได้กลับมาเจอนายของมันอีกครั้งหลังจากการรอคอยอันแสนยาวนาน

อ้างอิงข้อมูลจาก
timeout.com
nippon.com
vickiwongandhachi.com
nerdnomads.com

 

Share :