ปัญหาระหว่าง ทอท. หรือบริษัทการท่าอากาศยานไทย จำกัด ( มหาชน) กับ เซ็นทรัลวิลเลจ ที่ตั้งเต็นท์ขวางทางเข้า-ออกโครงการเซ็นทรัล วิลเลจ ลักชัวรี่ เอาท์เล็ต ก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งชั่วคราวก่อนการพิพากษาให้ทางทอท.ถอนสิ่งกีดขวางออก เมื่อวันที่ 30 สิงหาคมที่ผ่านมา
ต้นทางของปัญหานี้ไม่ได้อยู่ที่ศูนย์การค้าบุกรุกที่ราชพัสดุที่ทาง ทอท.ได้รับมอบหมายให้ดูแลอยู่หรือไม่ แต่กลับอยู่ที่นโยบายการพัฒนาสนามบินและพื้นที่โดยรอบ ที่เปลี่ยนแปลงแนวทางอยู่ตลอดเวลา ไม่มีความแน่นอนว่าจะเป็นอย่างไร และเกิดปัญหาการอนุญาตให้พัฒนาพื้นที่โดยรอบอยู่เสมอ จนเกิดเป็นปัญหาใหญ่ในคราวนี้
มาตั้งต้นที่หลักการกันก่อน โดยทั่วไปสนามบินขนาดใหญ่มีวิธีการเลือกทำเลที่ตั้งอยู่ 2 วิธี คือ
1. คำนึงถึงประสิทธิภาพการขนส่งทางอากาศ ความปลอดภัยสาธารณะและการลดผลกระทบต่อพื้นที่โดยรอบเป็นหลัก พื้นที่นั้นสามารถขึ้นลงครื่องบินได้ตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่ส่งผลกระทบต่อการอยู่อาศัยของพลเมือง ปลอดภัยจากอุบัติเหตุทางการบิน มลภาวะทางเสียงและอากาศ จึงเลือกที่ตั้งสนามบินให้แยกขาดออกจากพื้นที่เมือง เช่น ตั้่งอยู่ไกลเขตเมืองออกไป หรือตั้งอยู่กลางป่า แล้วมีระบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถลำเลียงคนเข้าสู่ตัวเมืองได้ในเวลาที่ไม่นานนัก ตัวอย่างของสนามบินที่มีทำเลแบบนี้คือ สนามบินแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี
2. ดูเรื่องผลพลอยได้ทางเศรษฐกิจจากสนามบินเป็นหลัก โดยมองว่าสนามบินคือ gateway ที่เชื่อมโยงระหว่างประเทศ เป็นพื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจ ทำเลที่ตั้งจึงอยู่ใกล้เมืองและอนุญาตให้พัฒนาพื้นที่โดยรอบ ตามหลักการ ‘เมืองศูนย์กลางการบิน’ The Aerotropolis ที่มุ่งให้สนามบินหลักเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจอีกแห่งหนึ่งของภาคมหานคร โดยมุ่งธุรกิจระหว่างประเทศ ส่วนศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่อยู่ในเมืองก็มุ่งเรื่องธุรกิจภายในประเทศ ตัวแม่ของวิธีนี้ คือ สนามบินสกิปโพล อัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่มีการพัฒนาเชิงพาณิชย์จำนวนมากในพื้นที่โดยรอบสนามบิน
สองวิธีนี้ มีแนวทางการพัฒนาและการควบคุมแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง จะเอาทางไหนก็ต้องเอาสักทาง จะเอาวิธีแรกก็ต้องควบคุมไม่ให้เกิดการพัฒนาโดยรอบ ไปใช้ศูนย์กลางในเมืองเอา แต่ถ้าจะเอาวิธีที่สอง ก็ต้องส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาโดยรอบ โดยเอาสนามบินเป็นศูนย์กลาง
หันมามองประเทศไทย เราใช้วิธีไหนกันนะ ก็ลองไปหาผังเมืองรวม กทม.และปริมณฑล หรือเรียกว่าภาคมหานคร จากอดีตถึงปัจจุบันดู แล้วพบอะไรที่น่าสนใจมาก
รูปแรก เป็นผัง THE GREATER BANGKOK PLAN 2533 ทำโดย บ.ลิทช์ฟิลด์ จากสหรัฐอเมริกา จะเห็นสนามบินสุวรรรณภูมิและรันเวย์ตามแนวเหนือ-ใต้ ทางปลายด้านตะวันออกของพื้นที่เมือง อยู่บนพื้นที่ีขาวติดกับขอบของพื้นที่วางผังเมืองที่กำหนดตรงนั้นเป็นพื้นที่สีเขียว (ชนบทและเกษตรกรรม) อีกทั้งยังมีการป้องกันน้ำท่วมด้วยคลองที่ลัดตรงจากแม่น้ำเจ้าพระยาตอนบน ผ่านรั้วด้านตะวันตกของสนามบินอย่างชัดเจน วิธีการเลือกทำเลที่ตั้งสนามบินสุวรรณภูมิตามผังนี้ คือ วิธีที่ 1 มุ่งประสิทธิภาพและความปลอดภัยทางการบินสูงสุด สนามบินอยู่นอกเขตชุมชนเมืองชัดเจน และมีมาตรการทางผังเมืองไม่ให้พัฒนาเมืองในพื้นที่โดยรอบสนามบินแต่อย่างใด
ภาพที่สอง เป็นผังนครหลวง ปรับปรุงครั้งที่ 1 พ.ศ.2533 ก็ยังคิดแบบเดิม เห็นสนามบินสุวรรณภูมิเป็นพื้นที่สีเทาทางด้่านตะวันออกของเมือง อยู่บนพื้นที่สีขาว คือ พื้นที่ที่ไม่มีการพัฒนาเมืองไม่ว่ารูปแบบใดทั้งสิ้น ก็แสดงว่า ผังนี้ยังมุ่งเน้นประสิทธิภาพและความปลอดภัยทางการบินเป็นหลัก ไม่อนุญาตให้พัฒนาเมืองโดยรอบสนามบินแต่อย่างใด
ภาพที่สาม เป็นการเอาผังเมืองรวมของทุกจังหวัดในภาคมหานครมาต่อกัน (เพราะท่านว่า ไม่ให้วางผังเมืองรวมข้ามจังหวัด) จะเห็นสนามบินสุวรรณภูมิเป็นพื้นที่สีน้ำเงินขนาดใหญ่อยู่ทางตะวันออกของผัง ด้านเหนือเป็นทางน้ำหลากฝั่งตะวันออกของ กทม. ด้านใต้เป็นพื้นที่สีเขียว ชนบทและเกษตรกรรมในจังหวัดสมุทรปราการ ด้านขวาเป็นสีเหลือง ที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย และด้านซ้ายเป็นสีแดง พาณิชยกรรม แสดงว่าในปัจจุบันใช้วิธีที่ 2 มุ่งให้เกิดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากสนามบินอย่างสูงสุดจึงอนุญาตให้พัฒนาพื้นที่แบบเมืองได้ทั้งสองข้างของสนามบิน
เมื่อพิจารณาผังเมืองรวมไล่ตามลำดับลงมาจะเห็นความแตกต่างระหว่างผังเมืองในอดีตกับปัจจุบันอย่างชัดเจน เมื่อก่อนบอกว่า อย่าเอาอะไรไปอยู่รอบสนามบินเลย จะได้ใช้งานการบินได้เต็มที่และไม่มีความเสี่ยงต่อพื้นที่โดยรอบ จึงไม่อนุญาตให้พัฒนาพื้นที่แบบเมืองข้างๆ สนามบิน แต่ในยุคหลัง เปลี่ยนวิธีคิดโดยสิ้นเชิง สนับสนุนให้เกิดการพัฒนาพื้นที่โดยรอบสนามบิน เพื่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจสูงสุด
ความไม่มั่นคงในวิธีการพัฒนาสนามบินแบบนี้ ส่งผลให้ทำอะไรไม่ได้เต็มที่ จะเอาทางไหนก็ไม่ได้สักทาง สนามบินสุวรรณภูมิจึงต้องจ่ายค่าชดเชยมลภาวะทางเสียงให้กับพื้นที่โดยรอบหลายต่อหลายครั้ง รถไฟแอร์พอร์ตลิงก์ก็เจ๊งแล้วเจ๊งอีก การเข้าออกก็ไม่มีประสิทธิภาพ จนกระทั่งวันนี้ จะพัฒนาเอาต์เลตข้างๆ สนามบินจึงมีคำถามเรื่องความปลอดภัยทางการบินดังขึ้นทันที
แต่ก็ไม่แปลกอะไร โครงการเมกะโปรเจกต์ในประเทศนี้ก็แบบนี้แหละ จะพัฒนารถไฟ แต่ยังสร้างมอเตอร์เวย์อยู่ตลอด บอกว่าจะเป็นสนามบินระดับทอปเทนของโลก แต่เปิดสนามบินใหม่ขึ้นมาแย่งทรัพยากรในการพัฒนาสนามบิน ไม่มีความมั่นคงทางนโยบาย แม้แต่หาเสียงว่าถ้าได้เป็นรัฐบาล จะลดภาษี 10% พอเป็นรัฐบาลแล้วบอกว่าไม่ทำก็ยังได้