ข้อสังเกตหนึ่งของผู้เขียนหลังจากมาอาศัยอยู่ที่เมืองไทเป ประเทศไต้หวันกว่าครึ่งปี คือการพบว่าฤดูกาลและสภาพอากาศในแต่ละวันส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ได้พบบ่อยนักตอนอยู่ที่กรุงเทพฯ อากาศที่ไทเปเปลี่ยนแปลงบ่อย ในระดับที่เราต้องคอยหมั่นเช็คพยากรณ์อากาศทุกวันหรือทุกชั่วโมง เพื่อจะได้วางแผนว่าวันไหนเราควรจะซักผ้า หรือวันไหนเหมาะจะออกจากบ้าน
สิ่งที่น่าสนใจ คือต่อให้แดดจะจ้าหรือพายุมา คนไทเปก็ยังรับมือกับสภาพอากาศทุกรูปแบบได้โดยไม่ต้องปรับตัวอะไรมากนัก เพราะฤดูฝนของไทเปกินระยะเวลานานกว่า 5 เดือน (พฤษภาคม – กันยายน) บวกกับพายุไต้ฝุ่นที่มักจะพัดเข้ามาทักทายเกาะไต้หวันไม่ต่ำกว่าปีละ 3 ลูก สิ่งนี้จึงส่งผลต่อการออกแบบกายภาพเมือง และนโยบายการพัฒนาเมืองไทเปให้สามารถต้านทานน้ำท่วม (Flood Resilience) อย่างแยกไม่ออก
![](https://citycracker.co/wp-content/uploads/2020/09/rainytaipei1-1024x626.jpg)
ดูดซับน้ำตามหลักการ Sponge City
ในเมื่อฝนตกกับไทเปเป็นของคู่กัน สิ่งที่เทศบาลนครไทเป (Taipei City Government) ทำร่วมกับภาคเอกชนเลยไม่ใช่แค่การออกแบบอาคาร หรือสิ่งปลูกสร้างตามหลักการป้องกันอุทกภัย (Flood Protection) ที่มุ่งป้องกันไม่ให้น้ำเข้ามาในพื้นที่เมือง แต่เน้นรับมือในรูปแบบการปรับตัวต่ออุทกภัย (Flood Adaptation) ด้วยการใช้ประโยชน์จากพื้นที่สีเขียวในเมือง ต้นไม้ใหญ่ และปรับกายภาพเมืองเพียงเล็กน้อยตามหลักการ ‘Sponge City’ ที่ผลักดันให้เป็นนโยบายเมืองมาตั้งแต่ปี 2015 ตอบรับกับแนวทาง Sustainable Development Goals (SDGs) ของสหประชาชาติ ซึ่งหลายเมืองทั่วโลกก็เริ่มใช้แนวคิดเดียวกันนี้กับการจัดการน้ำท่วมในเมืองแล้วเช่นกัน
ในแง่ภูมิศาสตร์ ไทเปมีลักษณะคล้ายคลึงกรุงเทพฯ 2 อย่าง คือมีพื้นที่ใจกลางเมืองเป็นพื้นที่ต่ำ ความสูงแค่ 5-10 เมตรจากระดับน้ำทะเล และมีแม่น้ำตั้นสุย (Tamsui) ที่ไหลจากมหาสมุทรแปซิฟิกทางเหนือของเมือง คั่นเมืองออกเป็นสองฝั่ง บวกกับเมืองทางฝั่งตะวันตกยังตั้งเลียบไปกับแม่น้ำจี้หลง (Keelung) และแม่น้ำซินเตี้ยน (Xindian) ซึ่งทำให้พื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำในไทเปต้องทำหน้าที่รองรับน้ำที่เอ่อล้นจากแม่น้ำ และช่วยป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ใจกลางเมืองด้วยเช่นกัน เทศบาลนครไทเปจึงเริ่มต้นจัดการน้ำท่วมในเมืองด้วยแนวคิดการป้องกันอุทกภัย อย่างการสร้างกำแพงกั้นน้ำความสูงหลายเมตรริมแม่น้ำทั้ง 3 สาย การผันน้ำฝนลงอุโมงค์ใต้ดิน และการจัดสรรพื้นที่ริมแม่น้ำให้เป็นแหล่งรองรับน้ำ (Detention Pond) อย่างที่ทุกเมืองทำกัน
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่พายุไต้ฝุ่น Nari พัดเข้าไทเปเมื่อปี 2001 จนสร้างความเสียหายกว่า 40 ล้านล้านดอลลาร์ไต้หวัน ได้พิสูจน์ว่าการพึ่งพาแค่โครงสร้างป้องกันน้ำอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ หากเมืองต้องเผชิญกับพายุไต้ฝุ่น หรือฝนตกหนักเฉียบพลันจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาส (Climate Change) ที่โลกกำลังเผชิญอยู่
![](https://citycracker.co/wp-content/uploads/2020/09/5c6588f7df85751eab985b90.jpg)
เปลี่ยนพื้นถนนให้น้ำสามารถซึมผ่านได้
Sponge City Taipei คือนโยบายที่เทศบาลนครไทเปผลักดันเพื่อใช้สำหรับจัดการน้ำในเมืองด้วยสามแนวคิดหลัก คือการปรับตัวและอยู่ร่วมกับน้ำ (Resilient Water Adaptation) การใช้น้ำอย่างยั่งยืน (Sustainable Water Usage) และการส่งเสริมคุณภาพของสิ่งแวดล้อมน้ำ (A Vibrant Water Environment) โดยโจทย์ใหญ่คือการคิดว่าจะทำอย่างไรให้เมืองไทเปชั้นในมีศักยภาพในการต้านทานน้ำท่วมในฤดูฝนหรือฤดูมรสุม ทั้งยังสามารถดึงน้ำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ (absorb, drain and purify water) โดยไม่ต้องสร้างโครงสร้างกั้นน้ำใหญ่โต หรือปรับพื้นที่ใจกลางเมืองให้เป็นพื้นที่รองรับน้ำ
หนึ่งในวิธีการที่ลงทุนน้อย แต่ได้ผลดีมากคือการเปลี่ยนพื้นถนน และทางเท้าในเมืองให้มีพื้นผิวเป็นรูพรุน หรือพื้นที่สามารถให้น้ำซึมผ่าน (Permeable Pavement) ด้วยการใช้วัสดุอย่าง PAC (Porous Asphalt Concrete) ที่สามารถซึมซับน้ำฝนลงไปยังใต้ดินได้ ซึ่งหลายครั้งที่ฝนตกในไทเปเราจะไม่เห็นน้ำท่วมขังในเมืองเลย วิธีนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่แถมยังเป็นหลักการจัดการน้ำฝนในเมือง (Urban Stormwater Management) ที่ยั่งยืนมากอีกด้วย
ในปี 2015 – 2018 เทศบาลนครไทเปเปลี่ยนพื้นถนน ทางเท้า เลนจักรยาน สนามกีฬาโรงเรียน ไปจนถึงพื้นลานจอดรถสาธารณะทั่วเมืองกว่า 173,819 ตารางเมตร หรือขนาดเท่ากับสนามบาสเกตบอล 417 สนามให้เป็นเหมือนฟองน้ำคอยดูดซึมน้ำ ซึ่งพื้นเหล่านี้สามารถช่วยลดปริมาณน้ำฝนที่เอ่อล้นในเมืองได้ถึง 7.3-17.85% ในวันที่ฝนตก โดยน้ำฝนที่ดูดซึมได้จากในสวนสาธารณะยังถูกนำไปหมุนเวียนใช้ต่อในระบบน้ำของสวน และบางส่วนก็ถูกนำไปใช้ในโรงเรียนประถมหลายแห่งทั่วไทเป นอกจากนี้ในฤดูร้อนที่อุณหภูมิอาจแตะไปสูงกว่า 36 องศาเซลเซียส พื้นฟองน้ำยังช่วยลดอุณหภูมิพื้นผิวถนนลงได้ถึง 2.05 – 3.53 องศาเซลเซียส การออกแบบนี้จึงเป็นระบบจัดการน้ำในเมืองที่เหมาะสมมากสำหรับเมืองที่ต้องเผชิญทั้งแดดแรงจ้าและพายุฝนอย่างไทเป
![](https://citycracker.co/wp-content/uploads/2020/09/1LBTH0_WtyKRrjEjntKHAoQ.jpg)
เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้เมือง เพิ่มพื้นที่ดูดซับน้ำฝน
Garden City หรือการเพิ่มจำนวนพื้นที่สีเขียวในเมือง เป็นอีกหนึ่งนโยบายที่เทศบาลนครไทเปผลักดันอย่างจริงจัง เพราะสวนสาธารณะหรือต้นไม้ ไม่เพียงให้ร่มเงาและเป็นพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจ แต่ยังช่วยดูดซับน้ำฝนลงใต้ดิน และมีประโยชน์ต่อการลดมลภาวะทางอากาศและทางเสียง ซึ่งเป็นปัจจัยที่สนับสนุนให้ชาวไทเปขยันออกมาใช้ชีวิตสาธารณะนอกบ้านกันอย่างน่าชื่นชม นอกจากกายภาพของอาคารที่มักออกแบบให้มี Cover Way หรือชานหลังคายื่นออกมาปกคลุมตลอดทางเดินแล้ว ทางเดินใต้ร่มไม้เขียวครึ้มยังช่วยให้อุณหภูมิในเมืองลดลง แม้บางวันในไทเปจะอากาศร้อนใกล้ 40 องศาเซลเซียส แต่เราก็ยังรู้สึกว่าการเดินเท้าไม่ร้อนและเหนื่อยเกินไป
พื้นที่สีเขียวในไทเปมีมากมาย ตั้งแต่สวนป่าใจกลางเมืองอย่างสวนสาธารณะต้าอัน (Daan Forest Park) สวนขนาดเล็กใต้พื้นที่ทางด่วน ไปจนถึงภูเขาลูกเล็กลูกใหญ่สำหรับให้คนเมืองนั่งรถไฟใต้ดินปีนเขาขึ้นไปสัมผัสธรรมชาติ นอกจากนี้พื้นที่สีเขียวริมแม่น้ำบางแห่งยังเป็นแหล่งเรียนรูธรรมชาติชั้นดีให้กับเด็กๆ อย่างที่อุทยานธรรมชาติกวนตู้ (Guandu Nature Park) หรือ Tamsui River Mangrove Nature Reserve ป่าโกงกางทางเหนือริมแม่น้ำตั้นสุ่ย ที่ปลูกฝังให้เด็กไต้หวันเข้าใจคุณค่าของพื้นที่สีเขียว และเชื่อมโยงตัวเขาเข้ากับธรรมชาติและเมืองที่อาศัยอยู่
ไทเปจึงเป็นเมืองที่ให้ความสำคัญกับคนเดินเท้าและความเท่าเทียมกันกับธรรมชาติ และสิ่งนี้เองที่จะพาไปสู่ความยั่งยืนอย่างแท้จริง
อ้างอิงข้อมูลจาก
Batica, Jelena & Hu, Fang-yu & Gourbesville, Philippe. (2012). Flood resilience and urban systems: Nice and Taipei case studies.https://www.researchgate.net/publication/257343508.
Taipei City Government. (2018). 臺北市年鑑 2017 (Taipei Yearbook 2017).http://ebook.taipei.gov.tw/yearbook/2017/.
Taipei City Government. (2019). 2019 Taipei City Voluntary Local Review.http://sdg.gov.taipei/page_en/eng_area3/40.
Illustration by Montree Sommut
- Phanuphan Veeravaphusit
นักศึกษาปริญญาโทด้าน Urban Governance ที่ประเทศไต้หวัน สนใจเรื่องพื้นที่สาธารณะและการออกแบบเมืองเพื่อสนับสนุนศิลปะและวัฒนธรรม