คุณจ่ายค่าเดินทาง- ด้วยขนส่งสาธารณะเดือนละเท่าไหร่ ถ้าบอกว่ามีตั๋วราคา 330 บาท แล้วนั่งรถสาธารณะได้ทั่วประเทศ ใช้ได้กับขนส่งมวลชนเกือบทุกชนิด ชีวิตจะดีขึ้นขนาดไหน
ราคา 9 ยูโร หรือประมาณ 330 บาทไทย คือตั๋วเหมารูปแบบใหม่ที่รัฐบาลเยอรมันออกเพื่อให้บริการขนส่งสาธารณะราคาประหยัดกับประชาชน แน่นอนว่าเยอรมันเป็นหนึ่งในประเทศที่มีค่าครองชีพสูงติดอันดับต้นๆ ของโลก แต่ในแง่ของค่าใช้จ่ายพื้นฐาน เช่น ขนส่งสาธารณะอันเป็นค่าใช้จ่ายพื้นฐานตัวพาสใหม่นี้ทำให้ราคาถูกกว่าค่าใช้จ่ายในประเทศไทยที่ค่าครองชีพต่ำกว่าและบริการสาธารณะครอบคลุมน้อยกว่า
พาสขนส่งสาธารณะราคาประหยัดจนน่าตกใจของเยอรมัน เป็นนโยบายจากวิกฤติพลังงาน คือทั่วโลกกำลังเจอปัญหาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติแพงที่ทั้งแพงขึ้นอยู่แล้วและหนักหนาขึ้นจากสงครามรัสเซียยูเครน แทนที่พลังงานแพงขึ้น ขนส่งสาธารณะน่าจะแพงขึ้น แต่รัฐบาลหลายประเทศเลือกที่จะลดภาระค่าใช้จ่ายจากพลังงานที่แพงขึ้นด้วยการลดค่าตั๋วขนส่งสาธารณะของตัวเองลง นอกจากการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าคือช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าจากค่าใช้จ่ายจำเป็น นโยบายลดค่าขนส่งและออกตั๋วสุดประหยัดเป็นสิ่งที่หลายรัฐบาลทำมาตั้งแต่ก่อนวิกฤติราคาพลังงาน คือเน้นลดใช้รถส่วนตัวและดึงคนเข้าสู่ขนส่งสาธารณะของตัวเอง
ในช่วงเวลาที่ข้าวของแพง พลังงานแพงขึ้น และในความรู้สึกที่เราอยากจะปรับเมืองให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม City Cracker ชวนไปดูนโยบายลดค่าตั๋วที่สวนทางกับต้นทุนราคาพลังงาน อีกหนึ่งแนวนโยบายที่ประเทศที่มีค่าครองชีพและรายได้สูงเลือกที่จะแบกรับภาระของประชาชนจากค่าใช้จ่ายพื้นฐาน จากตั๋วราคา 330 บาทไปได้ทั่วประเทศ รวมถึงตั๋ว Climate Pass ที่ออสเตรียออกเพื่อชวนผู้คนใช้รถสาธารณะเพื่อบรรลุความตกลงปารีส (Paris Agreement)
330 บาท ไปได้ทั่วประเทศ กับตั๋วเหมาล่าสุดของเยอรมัน
เรียกได้ว่าขึ้นชื่อเรื่องสวัสดิการสำหรับประเทศเยอรมัน โดยทั่วไปค่าเดินทางของเยอรมันก็ถือว่าอยู่ในระดับราคาที่สูงพอประมาณแต่ก็จะมีระบบตั๋วเหมาและตั๋วเดินทางร่วมกัน แต่สำหรับการออกพาสล่าสุดของรัฐบาล คือเป็นตั๋วราคาประหยัดในระดับชวนตกใจ คือเป็นพาสราคา 9 ยูโร โดยพาสนั้นจะให้พลเมืองเยอรมันซื้อใช้ได้ และใช้ได้กับโครงข่ายขนส่งมวลชนหลัก ‘ทั้งประเทศ’
ตั๋วที่ถูกจนเกือบฟรีนี้เป็นโครงการระยะสั้นเพื่อช่วยเหลือประชาชนในการรับมือกับค่าพลังงานที่พุ่งสูงขึ้น ตัวพาสเองเป็นแนวนโยบายที่ค่อนข้างเป็นที่ถกเถียงกัน เนื่องจากรัฐบาลเลือกที่จะแบกรับภาระต้นทุนราคาที่ตัวเลขราว 2500 ล้านยูโร โดยตั๋วราคาประหยัดมากนี้จะทดลองใช้ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงสิ้นเดือนสิงหาคม และถือว่าเป็นการทดลองระบบการอุดหนุนและระบบตั๋วเพื่อนำไปสู่ภาคปฏิบัติของประเทศในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงเชิงภูมิอากาศต่อไป คือในอนาคตอาจจะมีระบบพาสราคาถูกออกมาเพื่อจูงใจให้คนใช้ขนส่งสาธารณะและลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนลง
รายละเอียดตั๋ว 9 ยูโรนี้ก็เรียบง่ายคือใช้ในขนส่งสาธารณะหลักในทุกพื้นที่ทั่วเยอรมัน คือใช้ได้ทั้งรถบัส รถไฟโครงข่าย U-Bahns และ S-Bahns รถราง รถไฟของแต่และภูมิภาคที่บริหารโดย Deutsche Bahn แต่ตั๋ว 9 ยูโรจะไม่รวมรถทางไกลต่างๆ เช่น รถไฟ ICE, IC หรือ EC รวมถึงรถบัสทางไกลเช่น FlixBuses โดยลักษณะตั๋วจะใช้ได้เป็นรายเดือน คือตั๋วของเดือนมิถุนายนไม่ว่าจะซื้อตอนไหนก็จะใช้ได้แค่ถึงสิ้นเดือน
แน่นอนว่าตั๋ว 9 ยูโรหรือ 330 บาท ใช้ขึ้นรถได้แทบทุกชนิดที่มีโครงข่ายทั่วประเทศของประเทศ โดยลำพังในราคาทั่วไป การเดินทางในเมืองของเยอรมันอาจจะอยู่ราคา 3 ยูโรต่อเที่ยว เช่นการเดินทางในเบอร์ลินเป็นต้น
จัดการภาษีท้องถนนด้วยสุดยอดตั๋วร่วม กับ Climate Pass ของออสเตรีย
นอกจากเยอรมันแล้ว เมื่อปลายปีที่แล้วคือช่วงเดือนตุลาคม 2021 ออสเตรียก็ได้มีนโยบายในทำนองเดียวกัน คือการออกพาสเดินทางพิเศษ เป็นตั๋วเดินทางร่วม รายปี ในราคาที่ค่อนข้างประหยัด และใช้ได้กับขนส่งสาธารณะทุกประเภททั้งของรัฐและเอกชนทั่วประเทศออสเตรีย เจ้าตั๋วนี้มีชื่อว่า KlimaTicket Öราคาตกอยู่ที่ประมาณ 1000 ยูโร ‘ต่อปี’ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 30000 กว่าบาท ฟังดูแพงหน่อย แต่หารเป็นรายเดือนตก 3000 บาท และพาสนี้ใช้พวกรถไฟได้เกือบทั้งหมดของออสเตรีย และถ้าเทียบกับค่าครองชีพก็ตก 100 ยูโรต่อเดือน
เป้าหมายหลักของตั๋วพิเศษ KlimaTicket Ö มีอยู่สองส่วน คือการเป็นตั๋วร่วม ที่เป็นการร่วมมือของบริษัทเดินรถทั้งรัฐและเอกชนของออสเตรียจำนวนมาก ทำให้ประชาชนใช้ตั๋วใบเดียวได้ทั่วประเทศ และตัวราคาแบบเหมาก็เป็นการจูงใจให้คนเลิกใช้รถยนต์ส่วนตัว มาเดินทางกับขนส่งสาธารณะทั้งการเดินทางระยะสั้นในชีวิตประจำวันและเดินทางระหว่างเมือง ในเวปไซต์จำหน่ายตั๋วระบุชัดว่าเป็นตั๋วที่จะร่วมกันบรรลุความตกลงปารีส ซึ่งในราคาตั๋วจะมีรายละเอียดพิเศษที่ลดราคาลงไปอีกเช่นตั๋วเสริมสำหรับเด็ก ตั๋วราคาพิเศษของเยาวชนและผู้สูงอายุ หรือการซื้อตั๋วเป็นครอบครัว
ความพิเศษในความเคลื่อนไหวของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศที่มีโครงข่ายขนส่งสาธารณะและมองว่าเป็นบริการพื้นฐานที่จำเป็นของประชาชน เป็นการเข้าถึงโอกาสและความเป็นไปได้ต่างๆ รวมถึงการปรับมุมมองที่เน้นลงทุนและอุดหนุนในภาคขนส่งเพื่อรับมือกับวิกฤติทั้งราคาพลังงานและวิกฤติสิ่งแวดล้อม
นึกภาพว่าถ้าเรามีระบบตั๋วที่สามารถโดดขึ้นลงขนส่งสาธารณะได้อย่างอิสระทั้งในตัวเมือง ไปจนถึงเดินทางไปมาได้ในระดับภูมิภาค การเคลื่อนไหวของผู้คนมีความเป็นอิสระมากขึ้น ทั้งยังลดการใช้ถนนลง ลงมลพิษ ลดค่าน้ำมันที่เรากำลังเจ็บปวดกันอยู่ ลดอุบัติเหตุ ลดความเครียดจากการขับขี่และผู้คนก็มีเวลาใช้ในการทำสิ่งต่างๆ และใช้เวลาร่วมกันได้มากขึ้น
อ้างอิงข้อมูลจาก
Graphic Design by Warunya Rujeewong
- Vanat Putnark
Writer