CITY CRACKER

‘เมืองนี้ไม่เหงาอีกต่อไป’ 8 โครงการ Co-Living ที่อยู่ด้วยกันจริงจากทั่วโลก

เวลาเรานึกถึงคำว่าบ้าน นึกถึงการอยู่อาศัย เรามักนึกถึงพื้นที่ส่วนตัว การอยู่ในพื้นที่เฉพาะ และพื้นที่ ‘ครัวเรือน’ นั้นมักโยงกับความเป็นครอบครัว การเกี่ยวดองกันบางอย่างเราถึงจะมาร่วมชีวิตอยู่ด้วยกันได้- ในแง่การเป็นมิตรสหายแล้วอยู่ด้วยกันนั้นเราก็ยังเห็นเป็นรูปแบบการใช้ชีวิตที่หาได้ยากอยู่ดี

ทว่า ด้วยรูปแบบวิถีชีวิตที่เริ่มเปลี่ยนไป การเกิดขึ้นคนรุ่นใหม่ๆ ค่านิยมใหม่ๆ รวมถึงเงื่อนไขของการใช้ทรัพยากร เราเป็นโสดกันมากขึ้น มีลูกกันน้อยลง มีกิจกรรมนอกบ้านมากขึ้น ทำงานโดยไม่นิดติดกับสถานที่หรืออาชีพใดอาชีพหนึ่งแบบเดิมอีกต่อไป ในขณะเดียวกันอสังหาริมทรัพย์ก็มีราคาแพงขึ้น การดูแลบ้านในพื้นที่ขนาดใหญ่กลายเป็นภาระ ความฝันของคนยุคใหม่อาจจะไม่ใช่การมีบ้าน มีรถ มีลูกอีกต่อไป แต่คือการแสวงหาความฝันอื่นๆ การหาประสบการณ์และความสำเร็จในรูปแบบของตัวเอง ดังนั้น แนวคิดเรื่องการ ‘ครอบครอง’ หรือ ownership นั้นก็เลยเริ่มลดความสำคัญลง การแบ่งปันหรือการมีพื้นที่ส่วนกลางที่ใช้ร่วมกันเริ่มมีความหมายมากขึ้น

Co-Housing หรือ Co-Living จริงๆ ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ขนาดนั้น เรานึกถึงการอยู่หอ การใช้เวลาในโฮสเทล แต่จะใหม่ในแง่ของการพูดถึงบ้านในฐานะการลงหลักปักฐานและเติบโต แนวคิดเรื่องการอยู่อาศัยร่วมคือการออกแบบโครงการและการพักอาศัยโดยให้คนแปลกหน้าเข้ามาใช้ชีวิตร่วมกัน มีการแบ่งพื้นที่ส่วนตัวและพื้นที่ส่วนกลาง ส่วนใหญ่จะเป็นการยูนิตพักอาศัยออกจากสาธารณูปโภคอื่นๆ ที่ผู้อยู่อาศัยทุกคนจะมาใช้ร่วมกันได้ เราอาจมีอพาร์ตเมนต์เล็กๆ มีที่นอน มีห้องน้ำเท่าที่เราต้องการ ในขณะที่เราก็มีพื้นที่ส่วนกลาง มีครัว มีห้องนั่งเล่น มีฟิตเนสที่เราจะออกมาใช้เวลาเสมือนเป็นครอบครัวเล็กๆ ในครัวเรือนเดียวกันกับคนอื่นๆ

การอยู่อาศัยร่วมในระดับอรรถประโยชน์ แน่นอนว่าเป็นรูปแบบการอยู่อาศัยที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ตัวโครงการด้วยการแชร์พื้นที่ทำให้ราคาของพื้นที่ถูกลง การไม่มีทายาทก็ทำให้ไม่จำเป็นลงทุนไปกับการครอบครอง พื้นที่อยู่อาศัยอาจเปลี่ยนมือไปได้โดยง่าย ตอบสนองต่อปัญหาการขาดแคลนที่อยู่อาศัย การอยู่อาศัยร่วมนี้จึงตอบโจทย์ทั้งยุคก่อนโรคระบาดและหลังโรคระบาด ที่คราวนี้เราไม่จำเป็นต้องอยู่ติดกับบ้านในเมือง การย้ายออกจากเมืองและสร้างชุมชนเล็กๆ ร่วมกันจึงเป็นการลงทุนที่ดูเป็นไปได้ หรือกระทั่งกระแสการทำงานยุคใหม่ที่คราวนี้เราสามารถท่องเที่ยวไป ทำงานไป ย้ายที่อยู่อาศัยไปเรื่อยๆ การอยู่อาศัยร่วมก็ดูจะตอบโจทย์การใช้ชีวิตอยู่ไม่น้อย

 

Gallery of The Commons / Department of Architecture - 2

 

จริงๆ แล้ว Co-Living Project โครงการที่พักอาศัยร่วมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงจังทั่วโลก มีธุรกิจอสังหาและโมเดลธุรกิจเกิดขึ้นพอสมควรทั้งในยุโรปและเอเชีย เราเริ่มเห็นหน้าตาอาร์ตเมนต์ขนาดเล็ก บ้านที่แบ่งสัดส่วนเพื่ออยู่อาศัยหลายครอบครัว ไปจนถึงโครงการอยู่อาศัยร่วมหลายพันหลังคาเรือน ที่มีภาษาของเฟอร์นิเจอร์และหน้าตาของพื้นที่ที่เน้นการแบ่งพื้นที่ และรักษาความเป็นส่วนตัวในพื้นที่ส่วนรวม มีความเห็นจากนักออกแบบและสตูดิโอสถาปัตย์ คือ Studio Weave และ the RIBA บอกว่าการอยู่อาศัยร่วมกันนี้แหละจะช่วยแก้ปัญหาทางสังคมของอังกฤษได้ ทั้งเรื่องความเดียวดายในเมืองไปจนถึงสังคมสูงวัย และโครงการอยู่อาศัยร่วมจะไม่ใช่แค่การอยู่อาศัยทางเลือก แต่กำลังกลายเป็นรูปแบบการอยู่อาศัยหลักต่อไป

City Cracker จึงชวนไปดูโครง Co-Living จากทั่วโลกในฐานะกระแสการอยู่อาศัยร่วมกันในอนาคตตามที่เราได้จัดเสวนาเรื่อง Future Living ไป พาไปดูว่าไอ้การอยู่ในอาศัยแบบที่ไม่เน้นความเป็นเจ้าของ การมีพื้นที่ส่วนกลางร่วมกัน อยู่ใต้ชายคาเดียวกันมันเป็นอย่างไร นอกจากจะประหยัด มีโอกาสมีที่อยู่อาศัยที่ดีแล้ว สาธารณูปโภคจะดีกับเราไหม นับตั้งแต่โปรเจ็ตกต์บ้านสำหรับครอบครัวเริ่มต้นใหม่ในบรรยากาศไม้อบอุ่นแบบสแกนดิเนเวียน โปรเจ็กต์ LifeX ที่เน้นการสร้างชุมชนคนรุ่นใหม่โดยปัจจุบันมี co-living อยู่ใน 7 ประเทศทั่วยุโรป โปรเจ็กต์ Flatmate ของฝรั่งเศสที่เป็นเหมือนบ้านและค่ายฟักผู้ประกอบการใหม่ ที่ถือว่าเป็น co-living ที่ใหญ่ที่สุดในโลก รองรับผู้พักอาศัยได้ 600 คน บ้านเล็กๆ อบอุ่นสีขาวในนาโกย่าที่เน้นให้คนโสดเช่า หรือบ้านพักสีขาวที่ทุกอย่างในอาคารเป็นสีขาวล้วนเน้นผู้พักอาศัยที่ต้องการสร้างงานสร้างสรรค์ในสิงคโปร์

Vindmøllebakken, Norway

Vindmøllebakken เป็นโครงการอพาร์ตเมนต์ที่เน้นความยั่งยืนในเมืองสเตแวนเจอร์ (Stavanger) หนึ่งในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของนอร์เวย์ แนวคิดสำคัญของโครงการพักอาศัยนี้คือ Gaining by Sharing ตัวโปรเจ็กต์นี้ล่าสุดได้กลายเป็นพาวิลเลียนที่งานเวนิสเบียนนาเล่ ภายใต้โจทย์ว่าเราจะอยู่กันอย่างไรต่อไปในอนาคต และคำตอบของประเทศกลุ่มนอร์ดิกคือการจำลองบ้านพักอาศัยแบบ co-housing ขึ้นเป็นคำตอบ

ตัวโครงการต้นแบบนั้นประกอบด้วบอพาร์ตเมนต์ 40 ยูนิต ในอพาร์ตเมนต์ก็จะเป็นพื้นที่ส่วนตัว แต่ในอาคารหรือพื้นที่แฟลตก็จะเน้นจัดพื้นที่ไว้ให้ผู้อยู่อาศัยใช้เวลาและใช้สาธารณูปโภคต่างๆ ในชีวิตประจำร่วมกัน มีห้องครัว โถงรับประทานอาหาร สวนผัก ลานดาดฟ้า ห้องเก็บของ ห้องซักรีด  พื้นที่ของเด็กๆ แกนสำคัญของโครงการคือการที่ผู้อยู่อาศัยทุกคนจะอยู่ร่วมกันเป็นชุมชนเล็กๆ แบ่งปันและดูแลซึ่งกันและกัน ตัวงานออกแบบกจะเน้นหน้าตาของบ้านแบบใหม่ที่รองรับครอบครัวจำนวนมาก แต่ก็ยังรักษาความเป็นส่วนตัวไว้ ครอบครัวปัจจุบันที่พักอาศัยก็มีความหลากหลายตั้งแต่คนโสด ครอบครัวเล็กๆ ไปจนถึงผู้สูงอายุ

 

LifeX Project, Copenhagen

LifeX Project เป็นโปรเจ็กต์บ้านที่กลายเป็นโมเดลธุรกิจที่ค่อนข้างใหญ่ ตัวบ้านของ LifeX เป็นอีกหนึ่งผลผลิตของวัฒนธรรมการอยู่อาศัย และสถาปัตยกรรมบ้านอบอุ่นแบบแสกนดิเนเวียน โครงบ้านจะมีลักษณะเป็นการแชร์บ้านที่ขนาดไม่ใหญ่นักและอพาร์ตเมนต์ เป้าหมายหลักๆ ของ LifeX คือกลุ่มคนที่เริ่มตั้งตัวและใช้โมเดลของการแชร์พื้นที่เพื่อให้มีกำลังพอจ่ายกับบ้านคุณภาพดี ตัวบ้านของ LifeX จะเน้นไปที่ความเป็นบ้าน มีอุปกรณ์การใช้ชีวิตครบครัน

จุดเริ่มของ LifeX คือเริ่มจากการที่ผู้ก่อตั้งย้ายจากซานฟรานซิสโกมาอยู่โคเปนเฮเกน ในตอนนั้นเกิดไอเดียว่ามาใหม่ เมืองใหม่ อยากทำอะไรใหม่ๆ เลยลงทุนเช่าอพาร์ตเมนต์ขนาดใหญ่และตกแต่งอย่างดีที่สุด พร้อมเชิญคนเข้ามาแชร์อยู่ด้วยกัน ผลคือได้ผลดีและค่อยๆ ขยายกลายเป็นโครงการอสังหาที่บริการบ้านโดยมีการแชร์พื้นที่เป็นหัวใจ ปัจจุบัน LifeX ดูแลบ้านกว่า 50 หลังใน 6 เมืองใหญ่ของยุโรป ลูกค้าหลักมักเป็นกลุ่มนักศึกษาจบใหม่ที่ย้ายออกจากบ้านพ่อแม่ คู่รักใหม่ที่เริ่มใช้ชีวิตร่วมกัน ตัวโปรเจ็กต์จึงเป็นเหมือนบริการพื้นที่บ้านในช่วงรอยต่อของชีวิต

 

Co-living Flatmates Project, France

เราพูดถึงการอยู่ร่วมกัน และส่วนหนึ่งคือการอยู่ร่วมเพื่อเติบโต นึกภาพการรวมตัวทำธุรกิจระหว่างหรือหลังเรียนจบที่หลายโปรเจ็กต์หรือสตาร์ทอัพใหม่ๆ ไปใช้ร่วมกัน Flatmates Project เป็นส่วนหนึ่งของการเกิดขึ้นของธุรกิจสตาร์ทอัพ ของกลุ่มคนรุ่นใหม่ในตัวเมืองปารีส ปารีสมีฮับที่ชื่อว่า Station F เป็นเหมือนศูนย์บ่มเพาะธุรกิจรุ่นใหม่ที่ถือว่าใหญ่ที่สุดในโลก เป็นแคมปัสที่ปรับสถานีรถไฟตู้สินค้ากลายเป็นพื้นที่ธุรกิจยุคใหม่กว่า 1,000 บริษัท กระนั้นมีที่ทำงานแล้ว ก็ทำที่พักแบบ co-living ในนาม Flatmates ให้ความรู้สึกเหมือนกลุ่มเพื่อนทำธุรกิจ เพื่อนร่วมหอที่มาใช้ชีวิตเพื่อสร้างสิ่งที่ตัวเองรักในธุรกิจสร้างสรรค์ ตัว Flatmates ก็ว่าสุดเหมือนกันเพราะถือว่าเป็นโครงการพักอาศัยร่วมที่ใหญ่ที่สุดในโลก คือรองรับการพักอาศัยได้ราว 600 คน ในอพาร์ตเมนต์ 100 ยูนิตของ 3 อาคารสูง

ลักษณะการอยู่อาศัยคือจะแบ่งเป็นยูนิตอพาร์ตเมนต์ย่อยๆ ยูนิตหนึ่งพักได้หกคน มีห้องนอนแยกกันและมีพื้นที่ส่วนกลางเป็นครัว ห้องน้ำ คาเฟ่ ระเบียง นอกจากนั้นก็จะมีส่วนกลางที่ใช้ร่วมกันตามสไตล์สตาร์ตอัพเช่นคาเฟ่ ยิม เลาจน์บาร์ มีฮอลไว้จัดอีเวนต์ พื้นที่ภายนอก โดยความเก๋ของที่นี่คือเทคโนสุดๆ เน้นการออกแบบให้คนที่ไม่รู้จักกันมาอยู่ร่วมกัน มีการใช้ระบบจับคู่ห้องที่เราคุ้นเคยสมัยเรียน แต่ระบบนี้จะมีแพลตฟอร์มดิจิตัลที่จะแมตช์ตามบุคลิกลักษณะและความสนใจ ทางสถาปนิกออกแบบลักษณะห้อง 9 รูปแบบและใส่ใจไปถึงเฟอร์นิเจอร์ในโครงการที่มีกว่า 5,000 ชิ้นที่ล้วนเน้นการปรับประยุกต์ตามความต้องการ มีกระทั่งการออกแบบภาษาของเฟอร์นิเจอร์ที่เหมาะกับการอยู่แบบร่วมกัน เช่นระบบโซฟาแบบโมดูลาร์ที่ปรับประยุกต์ไปตามความต้องการได้

Oosterwold Co-living Complex, Netherland

อยากมีบ้านเล็กๆ ที่บ้านนอก แต่ยากเหลือเกิน จะไปปลูกเอง ดูแลเองก็ลำบาก ดังนั้นการรวมตัวเป็นเรื่องที่ทำให้การไปมีชีวิตแสนสุขที่ชนบทเป็นไปได้จริง ความฝันของการอยากไปอยู่ชนบทเองที่เนเธอแลนด์ก็มีเช่นกัน และฝันเป็นจริงได้ด้วยข้อจำกัดและการอยู่ร่วมกัน Oosterwold Co-living Complex เป็นโครงการของ Frode Bolhuis ศิลปินที่อยากจะมีบ้านบนพื้นที่ 1 เฮคเตอร์อันเป็นไร่มันฝรั่ง แต่ไม่ค่อยมีเงินจะทำไง สถาปนิกก็บอกว่าถ้างั้นต้องแชร์ เพราะสร้างบ้านพร้อมกันหลายๆ หลังถูกกว่า ผลคือก็หาเพื่อนฝูงคนสนใจมาได้ 8 คน

ตัวโครงการเล็กๆ นี้ก็เลยเกิดขึ้นเป็นการบ้านพักอาศัยร่วมที่ประกอบด้วยแนวบ้านสี่เหลี่ยมๆ คล้ายๆ เรือนแถว 9 หลัง ตัวผู้ออกแบบบอกว่าจะสร้างและออกแบบเพียงภายนอกเท่านั้น ภายในให้อิสระทำกันเอง ตัวบ้านออกมาสวย เรียบ อบอุ่น และร่วมสมัยตามแบบสแกนดิเนเวียน หน้าบ้านทั้งหมดเป็นสนามยาวๆ ร่วมกัน และมีสวนส่วนกลาง ตัวโครงการนี้ได้รับความสนใจ และแสดงให้เห็นทางออกที่เป็นรูปธรรมจากงบอันจำกัดพร้อมความสามารถในการออกแบบที่ตอบสนองความต้องการที่ต่างกันผ่านการวางโครงสร้างส่วนกลางเอาไว้ ได้เป็นบ้านล้ำสมัยที่ดูน่ารักกลางไร่มันที่ออกดอกสะพรั่ง

 

Share House LT Josai, Japan

เชิญพบกับบ้านขนาด 13 ห้องนอน Share House LT Josai เป็นบ้านในเมืองนาโกย่าที่ตอบสนองกับความต้องการการอยู่อาศัยร่วมของญี่ปุ่น แน่นอนญี่ปุ่นเป็นประเทศอันดับต้นๆ ที่เจอปัญหาแบบเมืองๆ คนเหงามากขึ้น เดียวดายมากขึ้น บ้านแพง และอยากมีคุณภาพชีวิตที่ดี ดังนั้นบ้านอยู่อาศัยร่วมกันนี้จึงออกแบบเพื่อตอบสนอง และคำนึงถึงการใช้พื้นที่รูปแบบใหม่โดยเฉพาะการจัดการกับพื้นที่ส่วนกลางที่จะตอบสนองการความต้องการที่หลากหลาย

ความพิเศษของบ้านหลังนี้คือการใช้ช่องว่างตรงกลาง โดยออกแบบบ้านทั้งหลังในรูปแบบสามมิติ คือมีสามระดับ สามชั้น ค่อยๆ ละลายความเป็นพื้นที่ส่วนตัวลง ถ้าเราดูผังและภาพรวมเราจะเห็นการแบ่งพื้นที่ออกเป็นช่วงๆ ในแต่ละชั้น ทำให้บ้านโปร่งโล่งและมีมิติที่น่าสนใจ ทั้งยังมีพื้นที่รองรับการใช้งานหลายส่วนที่ทั้งต่อเนื่องและแยกออกจากกัน จริงๆ ถ้าเราเคยไปโฮสเทลเราก็จะคุ้นๆ กับการใช้ระดับพื้นที่ที่ต่างกันแบ่งโซน โดยจะมีส่วนที่เป็นส่วนกลางที่สุดคือครัวและห้องนั่งเล่น

 

Gap House, Seoul

Gap House ตั้งอยู่ในกรุงโซล โครงการ Co-Living เป็นอีกหนึ่งโครงการที่คมคายตามชื่อ Gap House ทางโปรเจ็กต์อธิบายว่า ลองนึกภาพว่าระหว่างบ้านและหมู่บ้านนั้นมันมี ‘ช่องว่าง’ บางอย่างอยู่ระหว่างบ้าน แต่บ้านแห่งช่องว่างนี้จะเข้ามาเติมเต็มที่ว่างระหว่างผู้คนเอง ฟังแบบนี้ก็เห็นภาพว่าการอยู่อาศัยแบบเดิมแม้เราจะมองว่าเป็นชุมชน แต่ก็มีระยะของบ้าง ของผู้คนอยู่ ซึ่งการอยู่อาศัยแบบใหม่กำลังเติมช่องว่างเหล่านี้ผ่านการอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน

โปรเจ็กต์ Gap House ตั้งอยู่ในย่าน Bokjeong-dong คือตัวย่านถือเป็นย่านที่กำลังแออัดขึ้นเรื่อยๆ มีมหาวิทยาลัยถึง 2 แห่ง และเป็นที่อยู่ของคนทำงาน ทำให้พื้นที่พักอาศัยหายาก ดังนั้นตัว Gap House จึงถูกออกแบบเพื่อตอบโจทย์เรื่องที่อยู่อาศัยไม่เพียงพอ และยังมีเป้าหมายเป็นกลุ่มคนทำงานที่ยังโสด ตัวบ้านเป็นบ้านขนาดใหญ่เกือบจะเป็นอพาร์ตเมนต์ที่เน้นพื้นที่ส่วนกลางเป็นสำคัญ ตัวตึกจะเน้นออกแบบในโทนอบอุ่น เน้นแสงธรรมชาติและงานไม้ รวมถึงเน้นการมีพื้นที่รองรับกิจกรรมของผู้อยู่อาศัยยุคใหม่ ของคนทำงานที่ยังโสด เน้นครัวส่วนรวม พื้นที่รับประทานอาหาร และพื้นทีพักผ่อนที่โปร่งโล่งอยู่สบาย

 

Mokrin House, Serbia

สมมติว่าทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี เราเรียนรู้ว่าแค่มีอินเทอร์เน็ต มีคอมพิวเตอร์ก็ทำงานที่ไหนก็ได้ แล้วเรานึกภาพตัวเองตื่นขึ้นมาในบ้านสวยๆ ในหมู่บ้านเล็กๆ ทางตอนเหนือใกล้เขตชายแดนของเซอร์เบีย Mokrin House เป็นโครงการที่พักที่ออกแบบเพื่อรองรับกลุ่ม Digital Nomad คือคนทำงานที่ร่อนเร่ไปทำงานไป และตัวบ้านแห่งนี้ถือเป็น co-living ในชนบทแห่งแรกของเซอร์เบีย ซึ่งแนวคิดเรื่องการอยู่อาศัยร่วมกันยังนับว่ายังไม่เป็นที่แพร่หลายนัก

ในแง่ของบริการสำหรับฟรีแลนซ์ นักทำงานผ่านเน็ต จริงๆ สำหรับกระแสโลกก็ไม่ใหม่มาก แง่หนึ่งเป็นคล้ายๆ การซื้อที่พักแบบโฮสเทลในระยะยาว พร้อมบริการเสริมเพื่อใช้ชีวิตและการทำงานอื่นๆ ตัวบ้านก็ออกแบบสวยงาม มีห้องพักให้เลือกหลายระดับ รายงานในปี 2018 ระบุราคาการพักเป็นรายเดือน ถ้าพักในหอพักรวม เตียง 2 ชั้นจะอยู่ที่ราคา 993 ยูโรต่อเดือน ราว 40,000 บาท ห้องส่วนตัวสวยๆ อยู่ที่ 1,800 ยูโรต่อเดือน เกือบ 70,000 บาทไทย แต่ราคานี้คือจ่ายแล้วจบเหมือนเหมาโรงแรมพร้อมบริการเรื่องการงาน มีอาหารสามมื้อปรุงโดยเชฟท้องถิ่น พื้นที่ทำงานและรวมกิจกรรมอื่นๆ ซึ่งกิจกรรมจะเน้นไปที่เรื่องการทำงาน คอนเน็คธุรกิจ ไปจนถึงสาธารณูปโภคสันทนาการ เช่นสระว่ายน้ำและโรงหนังขนาดย่อม

 

Canvas House, Singapore

การทำงานสร้างสรรค์บางทีเราก็ต้องการพื้นที่ที่พิเศษ และหลายครั้งที่พื้นที่พิเศษนั้นต้องการการออกแบบพิเศษ นึกภาพการได้อยู่ในบ้านที่ทุกอย่างเป็นสีขาว และนี่คือ Canvas House บ้านที่ออกแบบให้เป็นเหมือนผืนผ้าใบ เป็นที่อยู่อาศัยร่วมในย่านกินดื่ม Tanjong Pagar ของสิงคโปร์ ตัวโปรเจ็กต์คือการรีโนเวตตึกแถวเก่าให้กลายเป็นโครงการพักอาศัย แนวคิดหลักนอกจากจะเป็นการสร้างพื้นที่สีขาวให้กับผู้คนที่ใช้ชีวิต และแน่นอนสีขาวล้วน การเล่นแสงเงานั้นสวยงาม แกนสำคัญอีกอย่างจึงเป็นการเชื่อมโยงอดีตเข้ากับอนาคต การปรับปรุงพื้นที่จึงเน้นการรักษารากเหง้าหรืออดีตของตัวตึกแถว ในขณะเดียวกันการระบายทุกอย่างให้เป็นสีขาวก็ทำให้การอยู่อาศัยเหมือนกับอยู่ในความฝัน เป็นการชวนผู้อยู่อาศัยให้ฝันไปถึงอนาคตด้วย

ตัวตึกแถวโฉมใหม่แห่งนี้ ด้วยงานออกแบบและคอนเซปต์ ทำให้ตัวสถาปัตยกรรมกลายเป็นพื้นที่พักอาศัยที่ทำให้ผู้คนที่หลากหลาย ทั้งคนสิงคโปร์เองและชาวต่างชาติที่อยากจะใช้การอยู่อาศัยระยะสั้นๆ 3-12 เดือนเพื่อบูสต์ความคิดสร้างสรรค์ในบ้านที่ชวนเราฝันไป เหมือนอาศัยอยู่ในผืนผ้าใบในงานศิลปะร่วมสมัย ค่าเช่าบ้านพักอาศัยร่วมสีขาวล้วนนี้เริ่มต้นที่ 3,300 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อเดือน ถ้าเทียบเรตค่าเช่าบ้านรายเดือนทั่วไปของสิงคโปร์ แต่ได้อยู่ในบรรยากาศเหมือนฝัน ก็นับว่าเท่าๆ กับค่าเช่าโดยทั่วไปของที่นั่น

 


อ้างอิงข้อมูลจาก
helenhard.no
doga.no
worldarchitecture.org
routledge.com
joinlifex.com
cutworkstudio.com
archdaily.com
dezeen.com
archdaily.com
archdaily.com
mokrinhouse.com
balkaninsight.com
dezeen.com
archdaily.com
dezeen.com

 

Illustration by Supatsorn Boontumma
Author
Share :