กว่าที่เมืองของเราจะกลายเป็นเช่นทุกวันนี้ เมืองโดยเฉพาะเมืองใหญ่ที่เป็นแนวหน้าด้านการพัฒนา เป็นผู้นำของความเป็นอยู่ที่ดี เมืองเหล่านั้นก็มักจะมีคนตัวเล็กๆ มีคนที่ทำงานหนัก เป็นผู้ที่ลุกขึ้นบุกเบิกทั้งในเชิงวิชาชีพ และในเชิงของการลงมือขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงใดๆ
ในครั้งนี้ City Cracker พาไปรู้จักกับผู้หญิงคนหนึ่งในช่วงทศวรรษ 1900 เป็นผู้หญิงที่นับได้ว่ามีอาชีพเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพืชพรรณ (Horticulturist) เป็นผู้หญิงคนแรกๆ ที่มีบทบาทในวงการและความเป็นวิชาชีพ โดยเคท เซสชัน (Kate Session) นับเป็นผู้หญิงที่เลือกเส้นทางวิชาชีพ และเธอเองก็นับว่าเป็นคนที่ทำอาชีพและรักษาธุรกิจด้วยการทำงานร่วมกับรัฐเป็นโมเดลบุกเบิก เช่น ใช้พื้นที่สวนเป็นที่เพาะกล้าไม้แลกกับการสนับสนุนต้นไม้ให้กับเมือง เคทเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกด้านพืชพรรณ เป็นผู้ร่วมสร้างองค์ความรู้ และเสนอให้เมืองทบทวนการใช้พืชพรรณและงานออกแบบสวนโดยคำนึงถึงพืชท้องถิ่น
ถ้ามองย้อนไปในช่วงทศวรรษ 1940-1950 แน่นอนว่าบทบาทของผู้หญิงยังถูกจำกัดอยู่มาก การเข้าถึงการศึกษา การเข้าทำงาน โดยเฉพาะในด้านวิชาชีพ พื้นที่ของการออกแบบโดยเฉพาะการออกแบบเมืองแน่นอนว่าเป็นโลกของผู้ชาย เช่นเดียวกันกับ Kate Sessions หรือ Katherine Olivia Sessions ที่ก่อนจะก้าวมาเป็นตำนานหนึ่งของการพัฒนาเมืองและวงการพืชพรรณ ความเป็นผู้หญิงของเธอก็ยังถูกจำกัดอยู่มาก
เคทเกิดในปีค.ศ. 1857 ที่ซานฟรานซิสโก เธอเติบโตขึ้นในครอบครัวขนาดใหญ่ที่นับว่าเป็นครอบครัวที่มีอันจะกินครอบครัวหนึ่ง หลังจากเกิดได้ไม่นาน ครอบครัวของเธอก็ย้ายไปอยู่ที่ฟาร์มในโอ๊คแลนด์ ใกล้ๆ กับทะเลสาบเมอร์ริตต์ (Lake Merritt) ความรักในพืชพรรณของเคทจึงน่าจะสัมพันธ์กับชีวิตวัยเด็กที่ใช้เวลาอยู่ในบ้านสวน ขี่ลูกม้า และเก็บดอกไม้ ประกอบกับความรักในพืชพรรณของแม่ โดยความสนใจเรื่องพืชเริ่มชัดเจนขึ้นเมื่อเธอเดินทางไปเที่ยวเกาะแห่งหนึ่งในฮาวาย
ดังกล่าวว่าในตอนนั้นปริมณฑลสาธารณะ หรือพื้นที่นอกบ้านไม่เปิดรับผู้หญิงนัก เคทเองเรียนจบด้านธุรกิจที่วิทยาลัยในซานฟรานซิสโก และเป็นหนึ่งในผู้หญิงไม่กี่คนที่เข้าเรียนด้านวิทยาศาสตร์ที่เบิร์กลีย์ โดยการงานที่ผู้หญิงพอจะทำได้คืองานสอน แม้ว่าเคทเองจะนับว่าเป็นนักศึกษาชั้นแนวหน้า หลังจากเธอจบการศึกษาในปีค.ศ. 1881 เคทหวังใจจะทำงานในแขนงธุรกิจ เช่น ธนาคาร หรืองานด้านเคมี แต่หลังเรียนจบเคทก็เข้าทำงานในโรงเรียนในเมืองซานดิเอโกเป็นส่วนใหญ่
ด้วยจังหวะ ทั้งจากภูมิหลังทางการศึกษาและความสนใจส่วนตัว ในช่วงที่เป็นครูและธุรการโรงเรียน ในตอนนั้นเคทก็ได้เจอกับเจ้าของธุรกิจฟาร์มดอกไม้และพืชพรรณ โดยฟาร์มนั้นอยากได้หุ้นส่วนที่เป็นคนรุ่นใหม่ เคทจึงหันเหอาชีพมาสู่วงการเพาะกล้าไม้และฟาร์มดอกไม้ แต่ว่าการเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจไม่ยืนยาวนัก ในช่วงนั้นเคทเหลือกิจการเป็นร้านดอกไม้บนถนนฟิฟฟ์ อเวนิว และทุ่งดอกไม้บางส่วนที่โคโรนาโด หลังจากนั้นเคทก็ไม่ได้ออกจากวงการ และยังคงทำธุรกิจเพาะเลี้ยงกล้าไม้และสวนดอกไม้ด้วยตัวคนเดียว อย่างเป็นอิสระและอย่างแข็งแรงต่อไป เคทนับว่าเป็นผู้หญิงทำงานที่เด็ดเดี่ยว มีอิสระ และไม่แต่งงานจนตลอดชีวิต
ความพิเศษของชีวิตผู้เชี่ยวชาญของเคท และเป็นที่มาของฉายา ‘แม่แห่งสวนบัลบัว’ (Balboa Park- อีกชื่อของ City Park) เริ่มต้นในช่วงหลังจากที่เธอต้องขายสวนที่โคโรนาโด เนื่องจากมีกิจการขนาดใหญ่มากว้านซื้อที่ดิน ในตอนนั้นเคทตัดสินใจย้ายสวนเพาะกล้าไม้ (nursery) ของเธอมาอยู่ที่สวนซิตี้พาร์กของเมืองซานดิเอโก- ตอนนั้นซานดิเอโกมีลักษณะเป็นพื้นที่รกร้างว่างเปล่า โดยในปี 1892 เคททำข้อตกลงกับเมืองซานดิเอโกว่า เธอสามารถใช้ที่ดินของสวนเป็นพื้นที่เพาะกล้าไม้ของกิจการของเธอได้ แต่ต้องแลกกับการที่เธอสนับสนุนต้นไม้ให้กับเมือง ทั้งการที่เธอจะต้องปลูกต้นไม้ร้อยต้นต่อปีในสวนซิตี้พาร์กและสนับสนุนต้นไม้ 300 ต้นต่อปีให้กับเมือง ไม่ว่าจะไปปลูกที่ไหนก็ตามในกรุงซานดิเอโก
ตลอดสิบปีตามข้อสัญญาเคทได้ปลูกต้นไม้นับร้อยต้นลงในสวนใหม่ของเมืองและได้ฉายาว่า แม่แห่งสวนบัลบัว (Mother of Balboa Park) หลังจากนั้นเคทก็มีฟาร์มกล้าไม้หลายแห่ง และย้ายออกจากพื้นที่สวนเมื่อตัวสวนเสร็จสมบูรณ์และปลูกต้นไม้ครบตามกำหนด
นอกจากการบุกเบิกและทำกิจการบนสวนและสนับสนุนพืชพรรณให้กับเมือง เคทเองยังเป็นผู้มีอิทธิพลต่อการพัฒนาเมืองและการออกแบบเมือง รวมถึงการออกแบบภูมิทัศน์ เคทเป็นหนึ่งในผู้ผลักดันเรื่องการออกแบบภูมิทัศน์และการให้ความสำคัญกับการคัดเลือกพืชพรรณ โดยเธอเน้นไปที่ความเข้าใจและความรู้เกี่ยวกับพืชพรรณ เสนอให้เมืองคัดเลือกและออกแบบกลุ่มพืชพรรณที่ตอบสนองกับภูมิอากาศท้องถิ่น เน้นการคัดเลือกสายพันธุ์ หรือพืชพรรณที่ไม่กระทบต่อระบบนิเวศ หรือพืชพรรณพื้นถิ่นเดิม เช่น มีหลักฐานจดหมายของเคทที่คัดค้านการออกแบบสวนที่เลียนแบบสวนในยุโรป และสนับสนุนให้ใช้พืชท้องถิ่นและเลือกพืชโดยคำนึงมิติทางชีวภาพ
นอกจากนี้เคทยังมีบทบาทในเชิงอนุรักษ์พืชพื้นถิ่น เธอเลือกพืชที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์จากที่ต่างๆ เข้ามาอยู่ในโรงเลี้ยงและนำไปสู่พื้นที่สวน ซึ่งเธอนำมาจากพื้นที่ใกล้เคียง เช่น ต้นปาล์มหายากจากแคลิฟอร์เนีย สนไซปรัสที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์จากเม็กซิโก ต้นไม้เสี่ยงสูญพันธุ์เหล่านี้หลายต้นเธอเดินทางไปขุดมาและนำมาเพาะเลี้ยงจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของเมือง เป็นอีกหนึ่งมรดกด้านพืชพรรณของเธอที่ยังคงอยู่ในปัจจุบัน
ถ้ามองย้อนไป แน่อนว่าเคทเป็นหนึ่งในผู้หญิงที่มีความโดดเด่น การลงหลักปักฐานในวงการพืชพรรณของซานดิเอโกในตอนนั้น นับได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้หักร้างถางพง คือสวนของเมือง ที่ดินของเมืองที่ว่าเป็นที่โล่งๆ แล้งๆ แต่เธอนับว่าเป็นคนที่ร่วมทำให้ซานดิเอโกมีความเขียวขจีขึ้น พร้อมทั้งเธอเองก็ไม่ได้เลือกวิถีแบบผู้หญิง เช่น แต่งงานและเป็นแม่ของลูก แต่เลือกที่จะเป็นแม่ของต้นไม้นับพันต้น เป็นเจ้าของกิจการที่ทำงานหนัก เป็นอิสระและประสบความสำเร็จทั้งในเชิงธุรกิจ และในเชิงวิชาชีพ เป็นผู้บุกเบิกคนสำคัญของความรู้และการออกแบบภูมิทัศน์ ออกแบบเมืองที่ต้นไม้อันเป็นลูกๆ ของเธอจำนวนไม่น้อยก็ยังเติบโตมาอยู่ในซานดิเอโกมาจนถึงทุกวันนี้แม้จะผ่านมานับร้อยปีแล้วก็ตาม
อ้างอิงข้อมูลจาก
Illustration by Montree Sommut
- Vanat Putnark
Writer