CITY CRACKER

ทำความรู้จัก ‘Circuit Breaker’ มาตรการรับมือกับโควิด-19 ของสิงคโปร์

 มาเลเซียมี Movement Control Order ฟิลิปปินส์มี Enhanced Community Quarantine ประเทศไทยเรามี Curfew แต่สิงคโปร์มี Circuit Breaker!

 

Circuit Breaker… ชื่อฟังดูตั้งใจให้ไม่เครียดและเป็นทางการ หรือทำให้คนฟังรู้สึกเหมือนเป็นคำสั่งและโดนบังคับจนเกินไป แถมยังเป็นการสื่อสารตรงไปตรงมา เข้าใจง่าย ร่วมมือได้ไม่ยาก ทำให้ทุกคนรู้สึกว่า หากปฏิบัติตามที่ขอความร่วมมือมาแล้ว จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้วงจรโควิดนี้จบไปเสียที

หลาย ๆ ประเทศ มีการตั้งกฎหมายไม่ให้คนออกจากบ้าน ต้องขอขอบคุณ ที่ Circuit Breaker ยังไม่พาสิงคโปร์ไปถึงจุดนั้น รัฐบาลเพียงแต่ออกกฎและขอความร่วมมือ (มีบทลงโทษหากฝ่าฝืน) ให้ทุกๆ คนในประเทศต้องทำงานจากที่บ้าน นอกจากคนที่ทำงานในสายบริการขั้นพื้นฐาน (essential service) เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหาร ธนาคาร และการบริการด้านสุขภาพ ที่ต้องเสียสละรับความเสี่ยงนี้ โดยการไปทำงานเป็นปกติ เพื่อให้คนอื่น ๆ ยังคงสามารถใช้ชีวิตที่มีคุณภาพที่ดีอยู่ได้

คนออกมาวิ่งออกกำลังกายและเดินพักผ่อน หลังจากการประกาศมาตราการ circuit breaker ครั้งแรก

 

จากการประกาศของนายกรัฐมนตรีลีเรื่อง Circuit Breaker ในวันศุกร์ที่ 3 เมษายน ที่ผ่านมา ทำให้ทราบชัดเจนว่า ทุกคนยังสามารถออกนอกบ้านได้เป็นอิสระ เพียงแต่ห้ามไปเจอ พบปะกับคนที่ไม่ได้อยู่ครัวเรือนเดียวกัน โดยกำหนดให้สามารถออกไปจากบ้านเพื่อไปรับการบริการขั้นพื้นฐาน รวมไปถึงยังสามารถออกไปวิ่งออกกำลังกายที่สวนได้ ทำให้เราสังเกตได้ว่า เออ การออกไปวิ่งที่สวนของที่นี่นี่มันสำคัญระดับปัจจัยสี่เลยนะเนี่ย จากสถานการณ์นี้ทำให้ทราบได้ชัดเลยว่า รัฐบาลคำนึงถึงคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยในประเทศทั้งหมดเป็นอย่างสูง และเข้าใจดีว่าการอยู่อุดอู้ในแฟลตนั้นลำบากเพียงใดสำหรับคนที่นี่

สำหรับตัวเราเอง บริษัทเริ่มให้ทำงานจากบ้านก่อนการประกาศ Circuit Breaker มาเป็นระยะหนึ่ง จึงเริ่มเกิดความรู้สึกเครียดจากการอุดอู้อยู่พอสมควร เนื่องจากอยู่บ้านมาหลายวันติดกัน จะได้เจอคนนอกบ้านก็ต่อเมื่อ Video Call กับทีมที่ออฟฟิศ แต่โชคดีที่ยังพอสามารถออกไปซื้อหาอาหารและขนมที่ตลาดได้ โดยร้านอาหารยังเปิดครบทุกร้านเพื่อการซื้อกลับบ้าน ที่ตลาดและแหล่งชุมชนยังพอมีคนอยู่บ้าง และด้วยการที่รัฐบาลยังอนุญาตให้สามารถออกไปวิ่งได้ ทำให้ตอนเช้าเรากิจกรรมใหม่ที่ไม่เคยทำมาก่อนตั้งแต่อยู่สิงคโปร์มา คือการตื่นเช้าเพื่อออกไปวิ่งก่อนเวลาทำงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ในยามปกติเราไม่มีทางทำสำเร็จ หากพิจารณาดูแล้ว เราเองไม่ใช่คนที่รักในการตื่นเช้าออกไปวิ่งเป็นทุนเดิม แต่ยังต้องออกไปวิ่งเพื่อคลายเครียดในช่วงนี้ หากใช้ตัวเราเป็นตัววัด แปลว่าการออกไปวิ่งในสวนนี้สำคัญมากจริงๆ สำหรับคุณภาพชีวิต สภาพจิตใจ และร่างกายที่ดี

สวนกลางเมืองที่ Dhoby Ghaut ยามค่ำ ที่ปกติจะมีชาวออฟฟิศเดินไปมา และนั่งพักที่ชิงช้า ในเวลานี้ไม่มีคนใช้งานแม้แต่คนเดียว เนื่องจากการประกาศ Circuit breaker

 

เมื่อออกไปวิ่งยามเช้า ทำให้เราได้สังเกตว่า ผู้คนออกมาวิ่งและเดินในสวนเยอะขึ้นมากในช่วงนี้ (จากคนที่ไปด้วยเป็นคนสังเกต) ประการหนึ่งน่าจะมาจากการที่ต้องอยู่ในบ้านตลอดเวลา ทำให้เกิดความอุดอู้ และทางเดียวที่จะทำให้สามารถคลายเครียดนอกบ้านได้คือการออกมาวิ่ง ประการถัดมาคือ การกลัวการเจ็บป่วยและต้องไปโรงพยาบาล ทำให้คนพยายามรักษาสุขภาพให้ดี

นอกจากการวิ่งแล้ว การคลายเครียดอีกอย่างหนึ่ง คือการสั่งอาหารจากร้านโปรดให้มาส่งที่บ้าน ทำให้ตัวเราเองรู้สึกเหมือนได้ลิ้มรสชาติโลกภายนอกที่ยังดำเนินไปตามปกติ ความรู้สึกตอนรับประทานเหมือนได้นั่งอยู่ในร้านอาหารร้านนั้นๆ ส่วนการสั่งของสด และ groceries เอง ก็กลายเป็นสิ่งที่เกือบจะจำเป็น เพราะผู้คนพยายามเลี่ยงความแออัดของการไปซื้ออาหารสดด้วยตนเองที่ซูเปอร์มาร์เก็ต หรือกระทั่งการสั่งของจากร้านสะดวกซื้อที่มาส่งภายใน 15 นาที ก็กลายเป็นสิ่งปกติมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน เห็นได้ว่าจำนวนของพนักงานส่งอาหารและส่งของนั้นเพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัว บางครั้งในโถงลิฟต์ของคอนโดมีพนักงานเหล่านี้ยืนรอลิฟต์อยู่พร้อมกัน 3-4 คน

การเดินทางโดยขนส่งสาธารณะ สังเกตได้ว่าตอนนี้ทุกคนใส่หน้ากาก และพยายามไม่นั่งใกล้กันให้มากที่สุด ที่เบาะที่นั่ง มีการติดสติ๊กเกอร์ชัดเจนว่าตรงไหนนั่งไม่ได้ ให้เว้นไว้ มีการออกบทลงโทษหากใครไม่รักษาระยะห่างจากผู้อื่น ผู้คนมีความรับผิดชอบกับสังคมมากขึ้น เนื่องจากรับรู้และตระหนักได้มากขึ้นว่าการอยู่ใกล้กับคนแปลกหน้ามากเกินไป หรือการมีพฤติกรรมที่ผิดสุขอนามัยในที่สาธารณะนั้น เป็นผลเสียต่อตัวเองและและผู้อื่น

บนรถเมล์มีการติดสติกเกอร์ห้ามนั่งไว้ โดยอนุญาตให้นั่งได้แค่ที่นั่งเว้นที่นั่ง แม้จะมาด้วยกันก็ตาม และทุกคนต้องใส่หน้ากากเมื่อออกจากบ้าน ยกเว้นเวลาวิ่งสามารถถอดออกได้

 

หลังจากโควิดจบ พฤติกรรมเหล่านี้ของผู้คนอาจจะยังไม่จบ และดำเนินต่อไปอีกช่วงระยะหนึ่งถึงตลอดไป เนื่องจากความเคยชินจากช่วงโควิดที่กินเวลาหลายเดือน เช่นตัวเราเองก็อาจจะยังดำเนินการสั่งอาหาร กาแฟ และขนมจากทางออนไลน์อย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้น mindset ของผู้คนน่าจะเปลี่ยนไป ผู้คนทั่วไปน่าจะรักตัว และตระหนักได้ถึงความสำคัญของสุขภาพ และสุขอนามัยที่ดีมากขึ้น พฤติกรรมทั้งหมดในเวลานี้ ถือเป็นพฤติกรรมปกติของผู้คนที่นี่ไปแล้ว (new normal) เนื่องจากทั้งกฎ Circuit Breaker และการตระหนักได้ของผู้คนในสิ่งที่ควรเลี่ยง ทว่าหลังจากนี้ ถึงแม้เป็นช่วงหลังจาก COVID-19 ซาลง การใช้ชีวิตของคนที่นี่ก็ไม่อาจกลับไปเป็นเหมือนก่อนการเกิดโรคระบาดได้ในเร็ววัน ผู้คนน่าจะมีความตระหนักได้ถึงความสำคัญของสุขภาพ และสุขอนามัยที่ดีมากขึ้น นอกจากนั้น ผู้คนน่าจะยังคงรักษาระยะห่างกับคนแปลกหน้า หรือที่เรามักเรียกกันว่า bubble เนื่องจากตระหนักได้ว่า เป็นสิ่งที่จำเป็น และช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคต่าง ๆ

ส่วนกลางของที่พักอาศัยทั้งหมดถูกปิดไม่ให้ใช้งาน

 

เนื่องจากจำนวนผู้คนติดเชื้อในประเทศสิงคโปร์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เมื่อวันอังคารที่ 21 เมษายน ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ออกมาประกาศยืดระยะเวลา Circuit breaker ออกไปอีกเดือนหนึ่งจากกำหนดการเดิม และได้ยกระดับความเข้มข้นขึ้น โดยแนะนำให้แต่ละบ้านออกจากบ้านครั้งละคนเท่านั้น และร้านขายของกินที่ไม่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ยกตัวอย่างเช่น ชานมไข่มุก ต้องปิดลงชั่วคราว (ใครบอกว่าไม่จำเป็น!) การเข้าซูเปอร์มาร์เกตต้องมีการวัดอุณหภูมิ และแถวที่ต่อรอเข้าซุปเปอร์นั้นยาวขึ้นเนื่องจากการจำกัดจำนวนคนในซุปเปอร์ เช่นเดียวกับตลาดชื่อดังที่เคยหนาแน่นตลอดเวลา ที่มีการจำกัดจำนวนคนเข้าไปซื้ออาหาร โดยเช็คบัตรประจำตัวก่อนเข้า และกำหนดให้ผู้ที่มีเลขประจำตัวลงท้ายเลขคู่ สามารถเข้าตลาดได้วันคู่ เลขคี่เข้าตลาดได้วันคี่ นอกจากนั้นยังมีกฎอื่นๆ เพิ่มขึ้น และยังมีแอพลิเคชั่นให้คนรายงานพฤติกรรมฝ่าฝืนกฎ โดยทั้งหมดทั้งมวลนี้ ทำให้เราต้องอยู่กับกฎนี้ไปอีกเดือนกว่า ๆ และต้องมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกขั้น

บรรยากาศการอออกกำลังกาย หลังจากการประกาศมาตราการ circuit breaker ที่เข้มข้นขึ้น

 

ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ เรายังไม่ได้ออกจากบ้านเลยแม้แต่ก้าวเดียว เพราะกลัวจะทำอะไรผิดกฎโดยไม่รู้ตัวแล้วโดนปรับ เพราะปรับครั้งแรกที่เป็นการตักเตือนก็มีราคาถึง 300 เหรียญแล้ว แม้การออกไปวิ่งยังคงทำได้ตามปกติ โดยเวลาวิ่งและวอร์มอัพ/ดาวน์ กำหนดให้ไม่ต้องใส่หน้ากากได้ แต่รู้สึกว่าหากิจกรรมทำอยู่บ้านจะปลอดภัยกว่า ทั้งจากการเสี่ยงโควิด และจากการเสี่ยงโดนปรับ

เนื่องจากตามกฎแล้ว เราและเพื่อนๆ ไม่สามารถออกไปเจอกันในที่สาธารณะ หรือรวมตัวกันที่บ้านใครคนใดคนหนึ่งได้เลย New normal ในเฟสของตัวของเรา จึงมีความแตกต่างจากเฟสแรก ที่เน้นด้านสุขภาพเป็นส่วนหลัก การถูก isolate มาระยะหนึ่ง ทำให้คิดถึงสังคมและเพื่อนๆ ขึ้นมา เราจึงเริ่มจากการนัดรับประทานอาหารค่ำ และดื่มทางออนไลน์กับเพื่อนที่อยู่สิงคโปร์ด้วยกัน ถือเป็นกิจกรรมเก่าๆ ยุค skype ที่เอามาปัดฝุ่นใหม่ เนื่องจากในยุคนี้เวลาปกติ เราไม่มีทางนัดกันวีดีโอคอลกับเพื่อนหลายคนเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนี้แน่ๆ และมากไปกว่านั้น ยังมีการวีดีโอคอลเพื่อออกกำลังกายพร้อมกันในเช้าวันอาทิตย์ บวกกับการอัพเดตข่าวสารชีวิตความเป็นอยู่ ทำให้แก้เหงาและเป็นการปลอบใจว่าไม่ได้โดนจำกัดให้อยู่แต่ในบ้านสักเท่าไหร่ ประหนึ่งว่า physical distancing but socially connected

 

ทุกคนคงมีลิตส์สิ่งที่อยากทำหากหมดช่วง Covid-19 ยาวเป็นหางว่าว บางคนอาจจะอยากไปเที่ยวต่างประเทศ อยากไปเสริมสวย อยากไปสตูดิโอโยคะที่เคยไปประจำ ส่วนเราเอง อยากนัดเจอเพื่อนและคนรู้จักไม่เว้นวัน ไปร้านอาหารและดื่มเครื่องดื่มที่คิดถึง และสิ่งที่อยู่อันดับหนึ่งในลิสต์ของเราและเพื่อนหลายๆ คนที่นี่ คือการบินกลับไปประเทศไทยเพื่อเยี่ยมครอบครัว หลังจากกักตัวเองออกจากสังคมเป็นเวลาหลายเดือน

 

Illustration by Montree Sommut
  • Wanchanok Boonchamnan

    วรรณชนก บุญชำนาญ (หวาน) จบภูมิสถาปัตย์และเคหพัฒนศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำงานที่สิงคโปร์ 6 ปีครึ่ง จากนั้นกลับไทย 2 ปี และตอนนี้ย้ายกลับมาอยู่สิงคโปร์ได้ 1 ปีถ้วน

Share :